วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Web Application

                 
  ส่วนมากเรามักจะคุ้นเคยกับการใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ติดตั้ง โปรแกรมพวก Microsoft Office ที่ประกอบด้วย Word ที่สำหรับพิมพ์เอกสาร Excel สำหรับสร้างตารางคำนวณ โปรแกรมพวกนี้เราจะเรียกมันว่า Desktop Application ซึ่งจะติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องใครเครื่องคนนั้น หรือโปรแกรมสำหรับงานบัญชี ที่บางหน่วยงานติดตั้งที่เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นลักษณะ Client-Server Application โดยเก็บฐานข้อมูลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ (Server) และติดตั้งตัวโปรแกรมบัญชีที่เครื่องใช้งาน (Client) ซึ่งตอบสนองความต้องการเพิ่มขึ้นในด้าน Multi-User หรือใช้งานพร้อมๆกันได้หลายๆคน โดยใช้ฐานข้อมูลเดียวกัน เก็บฐานข้อมูลไว้ที่ส่วนกลาง
                 เทคโนโลยี Desktop Application ไม่สามารถตอบสนองความต้องการการบริหารจัดการได้ โดยเฉพาะการทำธุรกิจที่ต้องปรับเปลี่ยนไปตลอดเวลา ข้อมูลมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา เพื่อตอบสนองภาวะตลาดที่แปรเปลี่ยน ระบบ Client-Server Application ตัวโปรแกรมมีความซับซ้อน การแก้ไข การ Upgrade ทำได้ยุ่งยาก อย่างกรณี หากต้องการ Upgrade หรือเพิ่มคุณสมบัติเพิ่มเติมให้กับ Application ที่ตัวเซิร์ฟเวอร์ต้องหยุดระบบทั้งหมด และเมื่อ Upgrade ที่เซิร์ฟเวอร์แล้ว ก็จำเป็นต้อง Upgrade ที่ Client ด้วย หากระบบมีผู้ใช้งานจำนวนมาก จะยิ่งเพิ่มความยุ่งยากมากขึ้น


    อ้างอิงเว็ป : http://www.aicomputer.co.th/sArticle/002-what-is-Web-Application.aspx

ซอฟแวร์ระบบ(System Software) Dos, Windows, Linux, Unix, Mac OS, Android, iOS, Symbian, Windows Phone

ซอฟแวร์ระบบ(System Software)  เป็นซอฟแวร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อจัดการระบบ  ดำเนินงานพื้นฐานต่างๆ ของระบบคอมพิวเตอร์

DOS   เป็นระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมาตั้งแต่ในอดีตออกมาพร้อมกับเครื่องพีซี ของไอบีเอ็มรุ่นแรก ๆ จากนั้นก็มีการพัฒนารุ่นใหม่ออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวอร์ชั่นสุดท้ายคือ เวอร์ชั่น 6.22 หลังจากที่มีการประกาศใช้วินโดวส์ 95 ก็คงจะไม่ผลิต DOS เวอร์ชชั่นใหม่ออกมาแล้ว โดยทั่วไปจะนิยมใช้วินโดวส์ 3. x ซึ่งถือว่าเป็นโปรแกรมเสริมชนิดหนึ่งที่ใช้ในดอส 
WINDOWS เป็นระบบปฏิบัติการที่กำลังนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาถึงรุ่น Windows 2000 แล้ว 
LINUX เป็นระบบปฏิบัติการที่มีลักษณะคล้ายกับ UNIX พัฒนาขึ้นมาเพื่อ แจกจ่ายให้ใช้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และพัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ PC
UNIX เป็น ระบบ OS ที่สามารถใช้ร่วมกันได้หลายคน (Multiuser) หรือเป็นระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย โดยที่ผู้ใช้แต่ละคนจะต้องมีชื่อและพาสเวิร์ดส่วนตัว และสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วโลก โดยผ่านทางสายโทรศัพท์และมี Modem เป็นตัวกลางในการรับส่งข้อมูลหรือโอนย้ายข้อมูล
Mac OS  เป็นระบบปฏิบัติการ Macintosh Operating System เป็นระบบ ปฏิบัติการของเครื่องแมคอินทอช เป็นผลิตภัณฑ์แรกที่ประสบความสำเร็จเกี่ยวกับการทำงานแบบ GUI

Android  เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพา เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ เน็ตบุ๊ก 

 iOS  เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ทโฟนของบริษัทแอปเปิล (Apple Inc.) หรือในชื่อเดิม แอปเปิลคอมพิวเตอร์ (Apple Computer Inc.) โดยเริ่มต้นพัฒนาสำหรับใช้ในโทรศัพท์ไอโฟน (iPhone)


Symbian คือ ระบบปฏิบัติการ (Operating System) ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับเทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้สาย (Wireless) ช่วยในการส่งข้อมูลของโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นหลัก เป็นระบบที่ใช้งานได้ง่าย มีความปลอดภัยสูง ช่วยประหยัดพลังงาน และใช้หน่วยความจำที่มีขนาดเล็ก เพื่อรองรับกับโทรศัพท์มือถือทั้งในปัจจุบันและอนาคต

 

Windows Phone เป็น ตระกูลระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือที่พัฒนาโดยไมโครซอฟ และเป็นทายาทที่ของวินโดว์โมเบิลแม้ว่าจะขัดกับมันมีวัตถุประสงค์หลักในตลาด ผู้บริโภคมากกว่าตลาดองค์กร

อ้าง อิงเว็ป : https://sites.google.com/site/mcukk5405202133/blog/khwam-hmay-khxng-sxftwaer-rabb-laea-sxftwaer-prayukt-prapheth-khxng-sxftwaer

 




หน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์



หน่วยความจำหลัก (Main Memory Unit) 
     เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจดจำข้อมูล และโปรแกรมต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ บางครั้งอาจเรียกว่า หน่วยเก็บข้อมูลหลัก (Primary storage)  สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ   
หน่วยความจำหลักแบบอ่านได้อย่างเดียว (Read Only Memory - ROM)
           เป็นหน่วยความจำแบบสารกึ่งตัวนำชั่วคราวชนิดอ่านได้อย่างเดียว ใช้เป็นสื่อบันทึกในคอมพิวเตอร์ เพราะไม่สามารถบันทึกซ้ำได้ (อย่างง่ายๆ) เป็นความจำที่ซอฟต์แวร์หรือข้อมูลอยู่แล้ว และพร้อมที่จะนำมาต่อกับไมโครโพรเซสเซอร์ได้โดยตรง หน่วยความจำประเภทนี้แม้ไม่มีไฟเลี้ยงต่ออยู่ ข้อมูลก็จะไม่หายไปจากน่วยความจำ (nonvolatile)
 หน่วยความจำหลักแบบแก้ไขได้ (Random Access Memory - RAM)
          เป็นหน่วยความจำหลัก ที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน หน่วยความจำชนิดนี้ อนุญาตให้เขียนและอ่านข้อมูลได้ในตำแหน่งต่างๆ อย่างอิสระ และรวดเร็วพอสมควร ซึ่งต่างจากสื่อเก็บข้อมูลชนิดอื่นๆ อย่างเทป หรือดิสก์ ที่มีข้อจำกัดในการอ่านและเขียนข้อมูล ที่ต้องทำตามลำดับก่อนหลังตามที่จัดเก็บไว้ในสื่อ หรือมีข้อกำจัดแบบรอม ที่อนุญาตให้อ่านเพียงอย่างเดียว
หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage Unit)
อุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรอง สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ

      จานแม่เหล็กเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูล สำรองที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภท จานแม่เหล็กประกอบด้วยแผ่นพลาสติกหรือโลหะที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็ก ข้อมูลสามารถบันทึกและอ่านจากผิวหน้าที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็กนี้ จานแม่เหล็กเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความจุสูง มีความเชื่อถือได้ และยังสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ประเภทของจานแม่เหล็ก
         ฟลอปปี้ดิสก์ นิยมเรียกโดยทั่วไปว่า ดิสก์เกตต์ ( diskettes) หรือดิสก์ ( disks) เป็น อุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองที่สามารถพกพาและเคลื่อนย้ายได้สะดวก ฟลอปปีดิสก์ ในรุ่นแรก ๆ จะมีขนาด 8 นิ้ว และ 5.25 นิ้ว แต่ปัจจุบันนิยมใช้ขนาด 3.5 นิ้วแต่เดิมฟลอปปีดิสก์เรียกว่า ฟลอปปี ( floppies) เพราะดิสก์มีลักษณะที่บางและยืดหยุ่น แต่ปัจจุบันลักษณะของดิสก์ได้พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เป็นดิสก์ที่หุ้มด้วยแผ่นพลาสติกแข็ง แต่เนื้อดิสก์ภายในยังคงอ่อนเหมือนเดิม 


อ้างอิงเว็ป :  http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type1/tech03/18/prakopmemory.html

ความหมาย Hardware, Software, People Ware และ Data



ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็นตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็นส่วนประกอบ ดังนี้  หน่วยรับข้อมูล หน่วยประมวลผล หน่วยแสดงผล


ซอฟแวร์ (Software) หมายถึง โปรแกรมชุดคำสั่งที่เขียนให้เครื่องคอมพิวเตอร์ปฏิบัติตาม ซึ่งมี 2ประเภท คือ ซอฟแวร์ควบคุมระบบ (System Software) ซอฟแวร์ประยุกต์ (Application Software)
บุคลากร (Peopleware) หมายถึง บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ในการใช้และดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น นักเขียนโปรแกรม (Programmer) นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)
Data  หมายถึง ความเร็วในการอ่านข้อมูลจากดิสก์ไปสู่สมองของเครื่องคอมพิวเตอร์ (หรือมีความเร็วในการนำข้อมูลมาจากสมองเครื่องไปบันทึกลงบนดิสก์) มีหน่วยวัดเป็น จำนวนไบต์ต่อวินาที ( Bytes Per Second หรือ bps )


อ้างอิงเว็ป :  http://www.chandra.ac.th/office/ict/document/it/it01/com_06.htm

องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์

เครื่องคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐาน 5 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ 
  
           หน่วยรับเข้า (Input Unit) 
           หน่วยประมวลผล กลาง (Central Processing Unit) 
           หน่วยความจำหลัก (Main Memory Unit) 
           หน่วยความจำรอง (Secondary Memory Unit) 
           หน่วยส่งออก (Output Input) 





                    แต่ละหน่วยทำหน้าที่ประสานกัน  โดยปกติการทำงานหนึ่ง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์จะเริ่มจากผู้ใช้ป้อนข้อมูลผ่านทางหน่วยรับเข้า ได้แก่ อุปกรณ์รับเข้าข้อมูล (Input Device) เช่น แผงแป้นอักขระ เมาส์ โดยข้อมูลที่ป้อนเข้าไปจะได้รับการเปลี่ยนแปลงให้อยู่ในรูปสัญญาณดิจิตอล ซึ่งประกอบด้วยเลข 0 และ 1 คำสั่งและข้อมูลดังกล่าวจะถูกส่งต่อไปยังหน่วยประมวลผลกลางเพื่อประมวลผลตาม คำสั่งต่อไป และในระหว่างการประมวลผลหากมีคำสั่งให้นำผลลัพธ์จากการประมวลผลไปจัดเก็บใน หน่วยความจำหลัก ซึ่งหน่วยความจำหลักที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลจากการประมวลผลเป็นการชั่วคราว นี้เรียกว่า “แรม” (Random Access Memory : RAM) ข้อมูลดังกล่าวจะถูกส่งไปยังหน่วยความจำหลักพร้อมทั้งค่าที่อ้างอิงถึง ตำแหน่งในการจัดเก็บ ทั้งนี้ เนื่องจากภายในหน่วยความหลักมีพื้นที่ใช้จัดเก็บข้อมูลหลายประเภท ซึ่งเราจะได้ศึกษาต่อไป ในขณะเดียวกันอาจมีคำสั่งให้นำผลลัพธ์จากการประมวลผลดังกล่าวไปแสดงผลผ่าน ทางหน่วยส่งออก ซึ่งอาจเป็นจอภาพ (Monitor) หรือเครื่องพิมพ์ (Printer) นอกจากนี้เราสามารถบันทึกข้อมูลที่อยู่ในแรมลงในหน่วยความจำรอง อันได้แก่ แผ่นบันทึก (Diskette) ซีดีรอม (Compact Disk Read Only Memory : CD-ROM) เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวกลับมาใช้อีกในอนาคตได้ โดยการอ่านข้อมูลที่บันทึกในสื่อดังกล่าวผ่านทางเครื่องขับ (Drive) และในปัจจุบันมีการคิดค้นหน่วยความจำรองที่พัฒนามาจากหน่วยความจำหลัก ประเภทที่เรียกว่า “รอม” (Read Only Memory : ROM) ทำให้สามารถบันทึกข้อมูลได้ปริมาณมากขึ้น และมีขนาดเล็กสะดวกต่อการพกพา และจากที่กล่าวมาทั้งหมด การส่งข้อมูลผ่านไปยังหน่วยต่าง ๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์จะผ่านทางระบบบัส (Bus)  ไม่ว่าจะเป็นบัสข้อมูล (Data Bus)  ทำหน้าที่ส่งสัญญาณข้อมูล  บัสที่อยู่ (Address Bus) ทำหน้าที่ส่งตำแหน่งอ้างอิงในหน่วยความจำหลักไปยังหน่วยความจำหลัก ในขณะที่มีการสั่งจัดเก็บข้อมูลในหน่วยความจำดังกล่าวหรือบัสควบคุม (Control Bus) ที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณควบคุมไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ


อ้างอิงเว็ป : http://www.chakkham.ac.th/krusuriya/index.php?option=com_content&view=article&id=85&Itemid=101

ประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์ Super Computer, Mini Computer, Micro Computer, Notebook, Tablet,Smart Phone

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer) 
                เป็นคอมพิวเตอร์ที่ มีความสามารถสูงที่สุดในกลุ่มมีขนาดใหญ่ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer) สามารถประมวลผลข้อมูลในปริมาณมากรวมถึงการประมวลผลงานที่มีรูปแบบอันซับซ้อน มีความรวดเร็วในการคำนวณได้มากกว่าหนึ่งล้านล้านต่อวินาที ( 1 Trillion calculations per second ) ภายในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ สามารถรองรับโปรเซสเซอร์ ได้มากกว่า 100 ตัว หน่ายวัดความเร็วของคอมพิวเตอร์นี้คือ หน่วยจิกะฟลอบ (Gigaflop)
มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer) 
                เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดกลางที่มีประสิทธิภาพในการทำงานน้อยกว่า เมนเฟรม แต่สูงกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ สามารถรองรับการทำงานจากผู้ใช้หลายร้อยคน (Multi-user) ในการทำงานที่แตกต่างกัน (Multi Programming) เช่นเดียวกับเครื่องเมนเฟรม แต่สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างเครื่องเมนเฟรมและเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ คือ ความเร็วในการทำงาน เนื่องจากมินิคอมพิวเตอร์ทำงานได้ช้ากว่า และควบคุมผู้ใช้งานต่าง ๆ ในจำนวนที่น้อยกว่า รวมทั้งสื่อที่เก็บข้อมูลมีความจุน้อยกว่าเมนเฟรม จึงเหมาะกับองค์กรขนาดกลาง เพราะมีราคาถูกกว่าเครื่องเมนเฟรมมาก ทำงานเฉพาะด้าน เช่น การคำนวณทางด้านวิศวกรรม การจองห้องพักของโรงแรม การทำงานด้านบัญชีขององค์การธุรกิจ เป็นต้น ในสถานศึกษาต่าง ๆ และบางหน่วยงานของรัฐนิยมใช้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้
ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer) 
               เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ราคาถูกสามารถเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer หรือ PC)

โน๊ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ (Notebook Computer)  
           เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก มี น้ำหนักเบาประมาณ 2-4 กิโลกรัม และบางกว่าแบบตั้งโต๊ะ สามารถพกพาไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้สะดวก โดยมีหน้าจอและคีย์บอร์ดติดกัน ส่วนเม้าส์ (Mouse) และลำโพงจะอยู่ติดกับตัวเครื่อง โดยสามารถหาอุปกรณ์ดังกล่าวติดตั้งภายนอกเพิ่มเติมก็ได้ มีเครื่องอ่านแผ่นดิสก์ (Floppy Disk Drive) และเครื่องอ่านแผ่นซีดีรอม (CD-ROM drive) และพัฒนาให้มีขนาดเล็กกว่าเดิมสามารถวางบนตักได้
Tablet 
             คอมพิวเตอร์พกพาหรือคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานขณะเคลื่อนที่ได้ขนาดกลาง ที่มีหน้าจอแบบสัมผัสในการใช้งานเป็นหลัก
smartphone 
            โทรศัพท์ที่รองรับระบบปฏิบัติการ ต่างๆได้  เสมือนยกเอาคุณสมบัติที่ PDA และคอมพิวเตอร์มาไว้ในโทรศัพท์ เช่น iOS  ,BlackBerry OS, Android OSWindows phone 7 และ Symbian Os เป็นต้น ซึ่งทำให้ สมาร์ทโฟน สามารถลงโปแกรมเพิ่มเติม (Application)
อ้างอิงเว็ป : http://lightspeed.in.th/smartphone-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-11-23-130

                  http://www.comsimple.com/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C/178-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C.html

วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เทคโนโลยี 3G

เทคโนโลยี 3G 
                ระบบ 3G หรือ Third Generation ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 จุดเด่นที่สุดของ 3G นั้น  เป็นเรื่องของความเร็วในการเชื่อมต่อและการรับ-ส่งข้อมูล โดยเน้นการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลต่างๆ รวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการ Multimedia ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และ มีประสิทธิภาพแบบมากยิ่งขึ้น


อ้างอิงเว็ป : http://motfgds.mot.go.th/joomla1512/index.php?option=com_content&view=article&id=60&Itemid=76




ระบบ 3G หรือ Third Generation ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 จุดเด่นที่สุดของ 3G นั้น ... เป็นเรื่องของความเร็วในการเชื่อมต่อและการรับ-ส่งข้อมูล โดยเน้นการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลต่างๆ รวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการ Multimedia ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และ มีประสิทธิภาพแบบมากยิ่งขึ้น

บริการต่างๆของ Google

บริการต่างๆของ Google

บริการ ของ Google ทั้งหมดมีอะไรบ้าง


                     ผมว่าทุกคนต้องเคยใช้ Internet ได้ต้องได้ใช้ บริการ ของ Google ด้วยกันทั้งหมด ส่วนตัวผมชอบGoogleมากๆ อย่างน้อยก็ต้อง  google.com  และด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า บริการ ต่างๆที่ทาง Google ทำออกให้พวกเราใช้กันเนี่ย ทั้งหมดนี้มีอะไรบ้าง ผมก็ไปไล่หามา ซึ่งทาง Google ได้ออกมาเยอะมากๆ ครับ

Google Analytics 
Google Answers 
Google Base 
Google Blog Search 
Google Bookmarks 
Google Books Search 
Google Calendar 
Google Catalogs 
Google Code 
Google Deskbar 
Google Desktop 
Google Directory 
Google Earth 
Google Finance 
Google Groups 
Google Images 
Google Labs 
Google Local 
Google Maps 
Google Mobile 
Google Moon 
Google News 
Google Pack 
Google Page Creator 
Google Personalized Home… 
Google Personalized Search 
Google Scholar 
Google Search History 
Google Talk 
Google Toolbar 
Google Transit Trip Planner 
Google Video 
Google Web Accelerator 
Google Web API 
Google Web Search 


อ้างอิงเว็ป  :  http://tueskub.blogspot.com/2010/01/google.html



FTp (file transfer protocol)

FTp (file transfer protocol)

                FTp  ย่อมาจาก (File Transfer Protocol) คือ รูปแบบมาตรฐานบนโครงข่าย (standard network protocol) ชนิดหนึ่ง ที่ใช้สำหรับการส่งไฟล์ หรือรับไฟล์ (receive file) ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นลูกข่ายที่ส่วนใหญ่จะเรียกว่าไคลเอนต์ (client) กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นแม่ข่าย

ส่วนใหญ่จะเรียกว่า โฮสติง (hosting) หรือ เซิร์ฟเวอร์ (server) โดยที่การติดต่อกันทาง FTP เราจะต้องติดต่อกันทาง Port 21 ซึ่งก่อนที่จะเข้าใช้งานได้นั้น จะต้องเป็นสมาชิกและมีชื่อผู้เข้าใช้ (User) และ รหัสผู้เข้าใช้ (password) ก่อน โปรแกรมสำหรับติดต่อกับแม่ข่าย (server) ส่วนมากจะใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เช่นโปรแกรม ไฟล์ซิลลา CuteFTP หรือ WSFTP ในการติดต่อ เป็นต้น


อ้างอิงเว็ป  :  http://www.ninetechno.com/a/website/71-joomla-ftp.html




E-mail

E-mail
             ย่อมาจาก electronic mail (แปลว่า ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์) หมายถึงการสื่อสารหรือการส่งข้อความ โน้ต หรือบันทึกออกจากคอม พิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ผ่านไปเข้าเครื่องปลายทาง (terminal) หรือเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งโดยส่งผ่านทางระบบเครือข่าย (network) ผู้ส่งจะต้องมีเลขที่อยู่ (e-mail address) ของผู้รับ และผู้รับก็สามารถเปิดคอมพิวเตอร์เรียกข่าวสารนั้นออกมาดูเมื่อใดก็ได้ โดยปกติ จะไม่มีการพิมพ์ข้อความหรือข่าวสารนั้นลงแผ่นกระดาษ นับว่าเป็นการประหยัดกระดาษไปได้ส่วนหนึ่ง โดยทั่วไป ถือกันว่าเป็นงานส่วนหนึ่งของสำนักงานอัตโนมัติ (office automation) ปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอันมาก


อ้างอิงเว็ป : http://dictionary.sanook.com/search/dict-computer/e-mail



Game Online กับการศึกษา

Game Online กับการศึกษา
               เกมคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีประโยชน์ต่อการศึกษา การสื่อสาร และให้ความบันเทิงควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยี  ที่ไม่หยุดนิ่ง นักเรียน – นักศึกษา หลายโรงเรียน เรียนรู้การใช้ประโยชน์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
ใช้งานเพื่อการศึกษา หรือเรียนรู้โปรแกรมเพื่อพัฒนาทักษะอย่างรอบด้านได้พอประมาณ  แต่นอกห้องเรียน  พวกเขามักเลือกใช้ประโยชน์เฉพาะด้านความบันเทิงมากเกินความเหมาะสม
     
                     การเล่นเกมมีด้านบวก คือ ช่วยลดความเครียดหลังเรียนหนัก ช่วยลดความกลัวที่มีต่อเทคโนโลยี ฝึกให้รักการเรียนรู้ เข้าสังคมออนไลน์ได้ความบันเทิงจากสื่อผสม และได้เพื่อนใหม่

                    ประโยชน์ต่อสังคม คือ ส่งเสริมให้คนมีงานทำ เกิดอาชีพ เกิดธุรกิจร้านเกม ร้านอินเทอร์เน็ต ขายชั่วโมงเกมออนไลน์ ขายอุปกรณ์ขายเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

​                    ด้านลบ หรือปัญหาเด็กติดเกมเกิดขึ้น เพราะการให้เวลากับเกมมากเกินไป เด็กบางคนไม่อ่านหนังสือ โดดเรียน มีพฤติกรรมก้าวร้าวตามตัวละครในเกม  ใช้เงินซื้อของในเกมมากเกินฐานะ พ่อแม่ส่งเสริมอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะพอใจที่ลูกไม่มากวนใจจนความสัมพันธ์ในครอบครัวบกพร่องเป็นปัญหาลูกโซ่ ที่นำไปสู่ปัญหาสังคม หรือครอบครัวขาดความอบอุ่นในที่สุด

อ้างอิงเว็ป :  http://www.hcc.ac.th/#!problem-of-games/c3v8




ประโยชน์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารด้านต่างๆ

ประโยชน์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารด้านต่างๆ
               เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีส่วนทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในปัจจุบันมีความสะดวกสบายมากขึ้น ทำให้คนในสังคมมีการติดต่อสื่อสารถึงกันได้ง่ายและรวดเร็ว การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ
             
ด้านการศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถูกนำมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการบริหารด้านการศึกษา
           
ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถูกนำมาใช้เริ่มต้งแต่การทำทะเบียนคนไข้ การรักษาพยาบาลทั่วไป ตลอดจนการวินิจฉัยและรักษาโรคต่างๆ ได้อย่ารวดเร็วและแม่นยำ 
            
 ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านเกษตรกรรม เช่น การจัดทำระบบข้อมูลเพื่อการเกษตรและพยากรณ์ผลผลิตด้านการเกษตร  
           
ด้านการเงินการธนาคาร เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถูกนำมาใช้ในด้านการเงินและธนาคาร โดยใช้ช่วยงานด้นบัญชี การฝากถอนเงิน โอนเงิน บริการสินเชื่อ แลกเปลี่ยนเงินตรา บริการข่าวสารการธนาคาร การใช้คอมพิวเตอร์ด้านการเงินการธนาคารที่รู้จักและนิยมใช้กันทั่วไป 
             
ด้านความมั่นคง มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกันอย่างแพร่หลาย 
             
ด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการออกแบบ หรือจำลองสภาวการณ์ต่างๆ 
            
ด้านการพาณิชย์ องค์กรในภาคธุรกิจใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการบริหารจัดการ เพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับองค์กรในการทำงาน 


อ้างอิงเว็ป  :  https://sites.google.com/site/kruyutsbw/prayochn-laea-tawxyang 


ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
             “เทคโนโลยีสารสนเทศ”  คำว่าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร  (Imformation  and  Communication  Technology : ICT) หรือเรียกย่อว่า  ”ไอซีที”  ประกอบด้วยคำที่มีความหมายดังนี้

- เทคโนโลยี  (Technology)  หมายถึง  การนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ในการพัฒนาเครื่องมือ  เครื่องใช้  อุปกรณ์  วิธีการหรือกระบวนการ  เพื่อช่วยในการหรือแก้ปัญหาต่างๆทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยฃน์ต่อบุคคล  กลุ่มบุคคล  หรือองค์กร

- สารสนเทศ  (Imformation)  หมายถึง  ผลลัพธ์ที่เกิดจากการนำข้อมูลมาผ่านกระบวนการต่างๆอย่างมีระบบ  จนได้สิ่งที่เป็นประโยชน์  มีคุณค่าและสาระ  หรือมีเนื้อหาและรูปแบบที่เหมาะสมตามความต้องการของผู้ใช้

เทคโนโลยีสารสนเทศ  หมายถึง  การนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาประยุต์ใช้เพื่อสร้างหรือจัดการกับ สารสนเทศอย่างเป็นระบบและรวดเร็ว  โดยอาศัยเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์  ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อบุคคล  กลุ่มบุคคล  หรือองค์กร  ทั้งนี้เทคโนโลยีสารสนเทศยังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีด้านการสื่อสารและโทร คมนาคม  ซึ่งเป็นวิธีการที่จะส่งข้อมูลจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง  เพื่อการแลกเปลี่ยนหรือเผยแพร่ข้อมูล  และสารสนเทศได้อย่างรวดเร็วทันต่อการใช้ประโยชน์ผ่านอุปกรณ์สื่อสาร  เช่น  วิทยุ  โทรศัพท์  เครื่องโทรสาร  คอมพิวเตอร์  คลื่นวิทยุ  และดาวเทียม

อ้างอิงเว็ป : http://evekanokwan.wordpress.com/category/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%881-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8/




การใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ในครอบครัวของตนเอง

การใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ในครอบครัวของตนเอง
                   ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาท ในชีวิตประจำวันของคนมากยิ่งขึ้น บทบาทของเทคโนโลยี มีมากยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการสารนิเทศ และสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการสารนิเทศเพื่อใช้ประโยชน์ กับตนเองก็หลีกเลี่ยงการ ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ด้านอื่น ๆ ไม่ได้

บทบาทของคอมพิวเตอร์ที่มีต่อครอบครัว

1.ใช้ในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ
2.หาข้อมูลสถานที่ ที่เราจะไปได้
3.เพื่อฝึกทักษะต่างๆ ในการเรียนของลูก
4.การจัดเก็บรวบรวมข้อมูลสารนิเทศส่วนบุคคล และ การดำเนินงานกิจการต่าง ๆ ของสมาชิกภายในครอบครัว
5.ช่วยให้ติดต่อสื่อสารระหว่างกันอย่างสะดวกรวดเร็ว
6.รู้ข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว และทันเหตุการณ์
7.ช่วยในการทำงานได้สะดวกขึ้น

อ้างอิงเว็ป : http://learners.in.th/blog/add/72404